ธรรมที่อุปการะการตรัสรู้ คือ โพธิปักขิยะธรรม ๓๗ อันได้แก่ สติปักฐาน ๔ อิทธิบาท ๔ สัมมปทาน ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โภชฌงค์ ๗ และ มรรคมีองค์ ๘
สติและสติปักฐาน ๔ มีทั้งใน สติปักฐาน ๔ เอง ในอินทรีย์ ๕ พละ ๕ ในโภชฌงค์ และ ในมรรคมีองค์ ๘ (สัมมาสติก็คือสติปักฐาน ๔)
แล้วคุณมนัส จะมาหาว่าสติปักฐาน ๔ ไม่ใช่หนทางปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลได้อย่างไร
สัมมาสมาธิในมรรคมีองค์แปดก็เป็นสมาธิ หรือฌานสมาธิที่ได้โดยการทำสมาธิจากการเริ่มต้นด้วยกายานุปัสสนาในสติปักฐาน ๔
สติปักฐาน ๔ ประกอบด้วย กายานุปัสนา เวทนาสุปัสนา จิตตานุปัสสนา และ ธรรมานุปัสนา กายยานุปัสสนา เป็นบาทฐานสำหรับการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานที่ง่ายที่สุด
ครูบาอาจารย์ท่านจึงสอนให้ พิจารณาหรือมีสติรู้ ที่ลมหายใจบ้าง มีสติรู้ในการเลื่อนไหวยืนเดินนั่นนอนบ้าง มีสัมปชัญญะตลอดการเคลื่อนไหวบ้าง พิจารณากายว่าประกอบด้วยธาต ๔ บ้าง เป็นปฏิกูลบ้าง และ ให้เห็นเป็นซากศพบ้าง ...
จนถึง ธรรมานุปัสนา อันประกอบด้วย พิจารณา นิวรณ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โภชฌงค์ ๗ และริยสัจ ๔
ทีนี้มาดู วิปัสนาภูมิบ้างมีอะไรประกอบ
วิปัสนาภูมิ ๖ มี ขันธ์ ๕ อายตน ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจย์ ๔ และ ปฏิจสมุปบาท ๑๒ จะเห็นว่า ธรรมมานุปัสนาในสติปักฐาน ๔ มีธรรมอย่างเดียวกันกับวิปัสนาภูมิ ๖
ตัวสติปักฐาน ๔ เอง กายา(รูป) เวทนา จิตตา และ ธรรมา วิปัสสนา มันก็คือขันธ์ ๕ ในธรรมมานุปัสนา ขันธ์ ๕ ในวิปัสสนาภูมิ และในครึ่งแรกของปฏิจสมุปบาท อายตนะ ๑๒ ในธรรมานุปัสนา ก็คือ อายตนะ ๔ และ ธาตุ ๑๘ ในวิปัสสนาภูมิ อริยสัจ ๔ มีในทั้งสอง
ไม่ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดเลยที่ตรัสรู้อนุตรสัมโพธิญาณโดยไม่ได้ พิจารณากาย (กายานุปัสสนา) พระอรหันต์สาวกในยุคปัจจุบันในประเทศไทย เช่นเดียวกัน ไม่มีองค์ใดเลยไม่ได้บรรลุธรรมโดยอาศัยการพิจารณากาย
เมื่อมีคนมาหาเรื่องถึงที่ ผมจึงให้ “เรื่อง” กลับไป ดังนี้ (06 กันยายน 2553 16:32)
มีคนมาแสดงความโง่อีกแล้ว ไม่ต้องอ้างอิงเนื้อหาข้างบน เอาที่คุณหาธรรมเขียนมาเองก็แล้วกัน คุณหาธรรมเขียนว่า
ธรรมที่ อุปการะการตรัสรู้ คือ โพธิปักขิยะธรรม ๓๗ อันได้แก่ - สติปักฐาน ๔ - อิทธิบาท ๔ - สัมมปทาน ๔ - อินทรีย์ ๕ - พละ ๕ - โภชฌงค์ ๗ และ - มรรคมีองค์ ๘ สติและสติปักฐาน ๔ มีทั้งใน สติปักฐาน ๔ เอง ในอินทรีย์ ๕ พละ ๕ ในโภชฌงค์ และ ในมรรคมีองค์ ๘ (สัมมาสติก็คือสติปักฐาน ๔) แล้ว คุณมนัส จะมาหาว่าสติปักฐาน ๔ ไม่ใช่หนทางปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลได้อย่างไร
สัมมาสมาธิในมรรคมีองค์แปดก็เป็นสมาธิ หรือฌานสมาธิที่ได้โดยการทำสมาธิจากการเริ่มต้นด้วยกายานุปัสสนาในสติปักฐาน ๔ สติปักฐาน ๔ ประกอบด้วย กายานุปัสนา เวทนาสุปัสนา จิตตานุปัสสนา และ ธรรมานุปัสนา กายยานุปัสสนา เป็นบาทฐานสำหรับการปฏิบัติสมาธิกรรมฐานที่ง่ายที่สุด ครูบาอาจารย์ท่านจึงสอนให้ พิจารณาหรือมีสติรู้ ที่ลมหายใจบ้าง มีสติรู้ในการเลื่อนไหวยืนเดินนั่นนอนบ้าง มีสัมปชัญญะตลอดการเคลื่อนไหวบ้าง พิจารณากายว่าประกอบด้วยธาต ๔ บ้าง เป็นปฏิกูลบ้าง และ ให้เห็นเป็นซากศพบ้าง ...จนถึง ธรรมานุปัสนา อันประกอบด้วย พิจารณา นิวรณ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โภชฌงค์ ๗ และอริยสัจ ๔
คำวิจารณ์
คุณหาธรรมมาเพ้อเจ้ออะไรของคุณ หัวข้อธรรมในโพธิปักขิยธรรม ๓๗ จะต้องไม่ใช่หัวข้อธรรมเดียวกัน ถ้ามีชื่อเดียวกัน เนื้อหาก็ต่างระดับกัน คุณจะมามั่วนิ่มว่า "สัมมาสติก็คือสติปักฐาน ๔" ได้อย่างไร มั่วอย่างไม่เป็นวิชาการเลย
สัมมาสติเป็นหัวข้อธรรมของมรรค 8 แต่สติปัฏฐาน 4 เป็นธรรมะพื้นฐานจะเป็นหัวข้อธรรมะเดียวกันได้อย่างไร
อธิบายเพิ่มเติมนิดหนึ่ง
นัก ศึกษาที่เรียนทางสายวิทยาศาสตร์จนกระทั่งถึงปริญญาเอก พวกนี้จะเรียนวิทยาศาสตร์ตั้งแต่ ม. 1 จนถึงปริญญาเอก คุณหาธรรมลองคิดดูซิว่า ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์เหมือนกัน เนื้อหาเดียวกัน แต่มันมีความลึกซึ้งของเนื้อหาต่างกัน
แล้วผมเองไม่เคยกล่าวว่า "สติปักฐาน ๔ ไม่ใช่หนทางปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผล" อ่านหนังสือไม่แตก แล้วยังอยากจะมาแสดงความโง่อีก
ผมบอกว่า สติปัฏฐาน 4 เป็นหัวข้อธรรมะพื้นฐาน การที่ สายพอง-ยุบกับสายนาม-รูปสอนว่า "การปฏิบัติธรรมเพียงหัวข้อหัวข้อหนึ่งของกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน 4 ก็สามารถทำให้บรรลุพระอรหันต์ได้แล้ว" มันเป็นคำสอนที่ผิด
เราต้องเรียนโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ทุกหัวข้อ แล้วต้องไปบรรลุด้วยวิชชา 3
การที่พระพุทธเจ้าบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ มีเขียนในพระไตรปิฎกชัดเจนว่า บรรลุด้วยวิชชา 3
พวกสายพอง-ยุบกับสายนาม-รูป จะเก่งกว่าพระพุทธเจ้าหรืออย่างไร ถึงไม่ต้องผ่านวิชชา 3
นอกจากนั้นแล้ว คำสอนของสายพอง-ยุบกับสายนาม-รูปที่สอนอย่างจริงจังว่าทำอย่างไร ก็มีแค่ที่คุณยกมานั่นแหละ คือ
ครูบาอาจารย์ท่านจึงสอนให้พิจารณา หรือมีสติรู้ ที่ลมหายใจบ้าง มีสติรู้ในการเลื่อนไหวยืนเดินนั่นนอนบ้าง มีสัมปชัญญะตลอดการเคลื่อนไหวบ้าง พิจารณากายว่าประกอบด้วยธาตุ ๔ บ้าง เป็นปฏิกูลบ้าง และ ให้เห็นเป็นซากศพบ้าง
สำหรับข้อความนี้
...จนถึง ธรรมานุปัสนา อันประกอบด้วย พิจารณา นิวรณ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โภชฌงค์ ๗ และอริยสัจ ๔
ผมยืนยันว่า ไม่จริง
คุณลองไปหาหนังสือของสายพอง-ยุบ กับสายนาม-รูปที่สอนเรื่อง - อิทธิบาท ๔ - สัมมปทาน ๔ - อินทรีย์ ๕ - พละ ๕ - โภชฌงค์ ๗ และ - มรรคมีองค์ ๘ ซิว่าสายพอง-ยุบกับสายนาม-รูป อธิบายว่าอย่างไร ทำอย่างไร
ไม่มีหรอก
คุณยกโพธิปักขิยธรรม ๓๗ มาก็ดีแล้ว ผมยืนยันว่าแล้วว่า สติปัฏฐาน 4 เป็นแค่พื้นฐาน จำเป็นเพราะเป็นพื้นฐาน แต่พิจารณาแค่นี้ ไม่สามารถจะบรรลุพระอรหันต์ได้
ข้อความต่อมาของคุณหาธรรม มีดังนี้
ที นี้มาดู วิปัสนาภูมิบ้างมีอะไรประกอบ วิปัสนาภูมิ ๖ มี ขันธ์ ๕ อายตน ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจย์ ๔ และ ปฏิจสมุปบาท ๑๒ จะเห็นว่า ธรรมมานุปัสนาในสติปักฐาน ๔ มีธรรมอย่างเดียวกันกับวิปัสนาภูมิ ๖ ตัวสติปักฐาน ๔ เอง กายา(รูป) เวทนา จิตตา และ ธรรมา วิปัสสนา มันก็คือขันธ์ ๕ ในธรรมมานุปัสนา ขันธ์ ๕ ในวิปัสสนาภูมิ และในครึ่งแรกของปฏิจสมุปบาท อายตนะ ๑๒ ในธรรมานุปัสนา ก็คือ อายตนะ ๔ และ ธาตุ ๑๘ ในวิปัสสนาภูมิ อริยสัจ ๔ มีในทั้งสอง
คำวิจารณ์
คุณหาธรรมลองอ่านด้วยใจเป็นธรรมซิว่า สติปัฏฐาน 4 เป็นหัวข้อธรรมะในวิปัสนาภูมิหรือไม่
อ่าน ข้อเขียนที่คุณยกมานั่นแหละ คุณจะมาโกหกพกลมว่า "ธรรมมานุปัสนาในสติปักฐาน ๔ มีธรรมอย่างเดียวกันกับวิปัสนาภูมิ ๖" ไปโกหกที่อื่น
พระพุทธโฆษาจารย์ผู้แต่งคัมภีร์วิสุทธิมรรค และเป็นคนจัดกลุ่มหัวข้อธรรมะว่า ธรรมะใดเป็นสมถะ ธรรมะใดเป็นวิปัสสนา ท่านไม่ได้จัดสติปัฏฐาน 4 ว่าเป็นวิปัสสนา
คุณจะฉลาดกว่าพระพุทธโฆษาจารย์ละมั้ง
คนจัดเขาไม่ได้จัดไว้ คุณจะไปทะลึ่งจัดอย่างนั้นได้อย่างไร
ข้อความนี้อีก
ตัวสติปักฐาน ๔ เอง กายา(รูป) เวทนา จิตตา และ ธรรมา วิปัสสนา มันก็คือขันธ์ ๕ ในธรรมมานุปัสนา ขันธ์ ๕ ในวิปัสสนาภูมิ และในครึ่งแรกของปฏิจสมุปบาท อายตนะ ๑๒ ในธรรมานุปัสนา ก็คือ อายตนะ ๔ และ ธาตุ ๑๘ ในวิปัสสนาภูมิ อริยสัจ ๔ มีในทั้งสอง
คุณจะมั่วไปถึงไหน
หัวข้อธรรมะใดๆ ในศาสนาพุทธ มันก็ลงไปที่ขันธ์ 5 คือกายกับใจทั้งนั้น แต่คุณจะไปมั่วนิ่มว่า สติปัฏฐาน 4 คือ ขันธ์ 5 ได้อย่างไร
ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
สติปัฏฐาน 4 คือ การตามเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ทั้งในกายของตนเอง และกายของคนอื่น
คุณลองไปอ่านหนังสือของสายพอง-ยุบกับสายนาม-รูปสอนซิว่า การเห็นกายในกายของคนอื่นเป็นอย่างไร มีหนังสือเล่มไหนอธิบายได้บ้าง
ไม่ต้องไปคำนึงถึงการเห็นเวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมในกายของคนอื่น เอาแค่คำเดียวก็ได้ คำว่า "เห็น" สายพอง-ยุบกับสายนาม-รูปหมายความว่าอย่างไร
ในหนังสือของสายพอง-ยุบกับสายนาม-รูปมีคำว่า "เห็น" เต็มไปหมด แต่ผมไม่เคยเห็นหนังสือเล่มใดอธิบายได้เลยว่า "เห็น" อย่างไร มีแต่ว่า "ห้ามเห็นไปทั้งหมด" ก็ห้ามเห็นไปซะหมด
แล้วจะเป็นวิปัสสนาได้อย่างไร ก็ในเมื่อวิปัสสนาแปลว่า "เห็นแจ้ง" คือ เห็นอย่างแจ่มแจ้งแดงแจ๋
ไปแสดงความโง่ที่อื่นเถอะ............คุณหาธรรม..
หลังจากตอบคำถามด้วยการให้ “เรื่อง” ไปแล้ว คุณหาธรรมก็ยังไม่เข็ด ยังคงเข้ามาโต้แย้งกับผมในอีกหลายบทความ อ่านๆ ไปเดี๋ยวก็พบเห็นว่า ไอ้พวกคนไทยใจพม่า สาวกของพระพม่า โง่ดักดานกันอย่างไรบ้าง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น