ในบทความชุดนี้
ผมจะพิสูจน์ให้เห็นว่า
ความเชื่อของสายพอง-ยุบกับสายนาม-รูปที่นำมาโฆษณาชวนเชื่อจนเกินจริงว่า
การปฏิบัติธรรมของตนนั้น
ถ้าปฏิบัติตามแล้ว สามารถจะบรรลุพระอรหันต์ได้ภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วัน นั้น
ไม่จริง
ทำไม่ได้
จากการอ่านพระสูตรในพระไตรปิฎก
ผมพบเนื้อหาของพระสูตรหนึ่ง ที่จะนำมาพิสูจน์ได้ว่า
ความเชื่อของพระพม่าดังกล่าวนั้น ไม่จริง เป็นไปตามที่ผมเสนอไว้ในหลายบทความแล้ว
ขอย้ำว่า
การพิสูจน์ครั้งนี้ เป็นการพิสูจน์กันในทางวิชาการ
สำหรับการพิสูจน์กันในทางปฏิบัติแล้ว
ข้อเท็จจริงก็พบกันไปแล้ว แต่สาวกของสายพอง-ยุบกันสายนาม-รูปไม่เฉลียวใจกันเองว่า
กำลังเข้าใจผิดตามพระพม่าไป นั่นก็คือ
ยังไม่เคยมีใครในสายพอง-ยุบและสายนาม-รูป บรรลุพระอรหันต์ได้ภายใน
7 ปี 7 เดือน 7 วัน แม้แต่คนเดียว
ซึ่งก็น่าจะพิสูจน์ได้ประการหนึ่งว่า
การปฏิบัติธรรมแบบนี้ ไม่ถูกต้อง
อย่างน้อยก็ไม่ถูกต้องตามคำโฆษณาชวนเชื่อของพระพม่า
ตรงนี้
ขอเปรียบเทียบกับพระสายพุทโธ ซึ่งยังมีความเชื่อที่ว่า พระเหล่านั้น
บรรลุพระอรหันต์แล้ว แต่ความเชื่อแบบนี้
ในสายพอง-ยุบ หรือนาม-รูป ไม่เคยมีปรากฎให้เห็น
พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค
พระสูตรนี้
นำมาจากพระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค
เป็นข้อความในส่วนของคามกัณฑ์ในมหาปรินิพพานสูตรฯ
โดยผมค้นมาจาก
พระไตรปิฎกฉบับซีดีรอมของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ฯ (วัดมหาธาตุ)
เหตุการณ์ในพระสูตรนี้
พระพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพานแล้ว
ขณะที่ตรัสสอนพระสูตรนี้
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่อัมพปาลีวัน เขตเมืองเวสาลี
พระองค์ตรัสเรียกภิกษุมาแล้วแล้วรับสั่งว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุควรเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะอยู่
นี้เป็นอนุสาสนีของเราสำหรับเธอ
ข้อความตรงนี้
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ภิกษุควรเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ แล้วทรงย้ำว่า
คำสอนนี้เป็นอนุสาสนีสำหรับพระภิกษุทั้งหลายอีกด้วย
คำว่า
อนุสาสนี
พจนานุกรมพุทธศาสตร์ของพระพรหมคุณาภรณ์ ให้ความหมายไว้ดังนี้
อนุสาสนี หมายถึง คำสั่งสอน, คำแนะนำพร่ำสอน;
(บาลี: อนุสาสนี; สันสกฤต: อนุศาสนี)
อนุสาสนีปาฏิหาริย์ หมายถึง อนุศาสนี, คำสอนเป็นจริง สอนให้เห็นจริง นำไปปฏิบัติได้ผลสมจริง เป็นอัศจรรย์ (ข้อ
๓ ใน ปาฏิหาริย์ ๓)
|
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน
ให้ความหมายไว้ดังนี้
อนุสาสนี หมายถึง น. คำสั่งสอน
อนุสาสนี ปาฏิหาริย์ หมายถึง น. การสอนเป็นอัศจรรย์ หมายถึง
คำสั่งสอนอันอาจจูงใจให้นิยมเชื่อถือไปตามได้อย่างน่าอัศจรรย์
เป็นปาฏิหาริย์อย่าง 1 ในปาฏิหาริย์ 3 ได้แก่ อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์
และอนุสาสนีปาฏิหาริย์
|
โดยสรุป
ก็อยากจะย้ำตรงนี้ว่า พระพุทธเจ้าทรงเน้นว่า การสอนตรงนี้สำคัญมาก
ต่อไปพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า
ผู้มีสติเป็นอย่างไร ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างไรเล่าภิกษุจึงจะชื่อว่า
เป็นผู้มีสติ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่
พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
เป็นผู้มีเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
พึงกำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลก อย่างนี้แล ภิกษุจึงจะชื่อว่า เป็นผู้มีสติ
|
แสดงว่า
ผู้มีสตินั้น ก็คือ ผู้ที่พิจารณาเห็น/ตามเห็น กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต
ธรรมในธรรม
แค่นี้สายพอง-ยุบกับสายนาม-รูปก็เหงื่อแตกแล้ว เพราะคำว่า “เห็น”
นั้นชัดเจนอยู่แล้ว
การแปลคำว่า
อนุปัสสนา เป็น
พิจารณาเห็นหรือตามเห็นก็ตาม ก็พอยอมรับได้ แต่จะไปแปลตามฝรั่งว่า เข้าใจ/understand ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ที่สำคัญก็คือ
ข้อความนี้ “พึงกำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกอย่างนี้”
แสดงว่า การที่ปฏิบัติตามสติปัฏฐาน 4 พระพุทธเจ้าสอนว่า สามารถกำจัดอภิชฌา
และโทมนัสได้
แล้วอภิชฌากับโทมนัสนั้น
คืออะไร
อภิชฌา
หมายถึง โลภอยากได้ของเขา,
ความคิดเพ่งเล็งจ้องจะเอาของของคนอื่น (ข้อ 8 ในอกุศลกรรมบถ 10)
อกุศลกรรมบถ
10 คือ ทางแห่งกรรมชั่ว,
ทางแห่งกรรมที่เป็นอกุศล, กรรมชั่วอันเป็นทางนำไปสู่ทุคติ
มี 10 อย่าง คือ
ก.
กายกรรม 3 ได้แก่
1. ปาณาติบาต การทำลายชีวิต
2. อทินนาทาน ถือเอาของที่เขามิได้ให้
3. กาเมสุมิจฉาจาร ประพฤติผิดในกาม
ข.
วจีกรรม 4 ได้แก่
4. มุสาวาท พูดเท็จ
5. ปิสุณาวาจา พูดส่อเสียด
6. ผรุสวาจา พูดคำหยาบ
7. สัมผัปปลาปะ พูดเพ้อเจ้อ
ค.
มโนกรรม 3 ได้แก่
8. อภิชฌา ละโมบคอยจ้องอยากได้ของเขา
9. พยาบาท คิดร้ายเขา
10. มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดจากคลองธรรม;
ส่วนโทมนัส
หมายถึง ความเสียใจ,
ความเป็นทุกข์ใจ; ดู เวทนา
นั่นก็แสดงว่า
การมีสติในสติปัฏฐาน 4 สามารถกำจัดได้เพียงความโลภ และความเสียใจ
ความทุกข์ใจเท่านั้น
จะบรรลุพระอรหันต์ได้ภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วันได้อย่างไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น