ต่อไปพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า
ผู้มีสัมปชัญญะเป็นอย่างไร ดังนี้
|
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างไรเล่า
ภิกษุจึงจะชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสัมปชัญญะ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้กระทำความรู้ตัว
ในการก้าว ในการถอย ในการแล ในการเหลียว ในการคู้เข้า
ในการเหยียดออก ในการทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม
ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ
ย่อมทำความรู้สึกตัว ในการเดิน การยืน
การนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง อย่างนี้แล
ภิกษุจึงจะชื่อว่า เป็นผู้ประกอบด้วยสัมปชัญญะ
|
ข้อความในส่วนนี้
จะเห็นได้ว่า การพิจารณาอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อยของการปฏิบัติธรรมแบบสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูป
เป็นเพียงการมีสัมปชัญญะในพระสูตรนี้เท่านั้น
ขอให้พิจารณาข้อความนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วย จะเห็นว่า ข้อความของพระสูตรในส่วนนี้
ไม่มีคำว่า “เห็น”
มีคำกริยาว่า “รู้ตัว”, “รู้สึกตัว”
ก็แสดงว่า
การมีสัมปชัญญะนั้น ไม่ต้องการ “การเห็น” (seeing) ในกรณีที่เป็นตัวของเราเอง
แต่ในกรณีที่เราต้องการจะพิจารณาเห็น/ตามเห็นกายของคนอื่น
ซึ่งเป็นกาย ณ ภายนอกนั้น
เราจะต้องใช้การเห็นหรือไม่ ท่านผู้อ่านก็ควรไปพิจารณาดู
ทำไมต้องเป็นสติปัฏฐาน 4
ดังได้กล่าวไปในบางบทความแล้วว่า
เมื่อพระมหาสีสะยาดอว์ (Ven.
Mahasi Sayadaw) คิดการปฏิบัติธรรมแบบนี้[1] ได้ ใหม่ๆ
ถูกโจมตีจากพระพม่าด้วยกันว่าไม่เป็นพุทธเถรวาท
หันรีหันขวางจึงจับการปฏิบัติธรรมแบบที่ตนเองคิดได้
ใส่เข้าไปในสติปัฏฐาน 4 เพราะว่า สอดคล้องกันดีกับการพิจารณาอิริยาบถใหญ่
อิริยาบถย่อย
ที่นี้พระพม่านี้
ท่านจะเก่งพระอภิธรรม แต่ก็เชื่อวิทยาศาสตร์เก่าไปด้วย นอกจากนั้น ก็น่าจะศึกษาคัมภีร์วิสุทธิมรรคมาพอสมควร เห็นว่า
วิปัสสนาญาณในคัมภีร์วิสุทธิมรรคน่าจะเป็นที่พึ่งได้
เพราะ
ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคได้กล่าวถึงวิปัสสนาญาณไว้
และเห็นว่า วิปัสสนาญาณทำให้บรรลุพระอรหันต์ได้
แต่พระพุทธโฆษาจารย์ผู้เขียนคัมภีร์วิสุทธิมรรคไม่เคยเขียนว่า
การปฏิบัติตามแบบท่านนั้น จะบรรลุพระอรหันต์ได้ ภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วัน
พระพม่าจึงพอเห็นช่องทาง
จึงจับสติปัฏฐาน 4 ยัดเข้าไปในวิปัสสนากรรมฐาน แล้วก็มั่วนิ่มว่า
ทำอย่างนั้นแล้วจะได้วิปัสสนาญาณ
แล้วก็มาโฆษณาชวนเชื่อว่า
การปฏิบัติแบบตนนั้น สามารถบรรลุพระอรหันต์ได้ภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วัน ดังกล่าว
แต่ถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว
คำสอนของพระพม่านั้น ขัดไปหมดทั้งคัมภีร์วิสุทธิมรรค ทั้งสติปัฏฐาน 4
รวมถึงพระสูตรสำคัญๆ อื่นๆ ด้วย
โดยสรุป
การพิจารณาอิริยาบถใหญ่
อิริยาบถย่อยนั้น เป็นเพียงสัมปชัญญะเท่านั้น
ซึ่งไม่ต้องใช้การพิจารณาเห็น/ตามเห็นแต่อย่างใด แต่ในการที่จะต้องมี “สติ” นั้น
จะต้องมีการพิจารณาเห็น/ตามเห็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ถ้าไม่เห็นแล้วจะพิจารณากายในกาย
เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ณ ภายนอก ซึ่งเป็นของบุคคลอื่นได้อย่างไร
การพิจารณาอิริยาบถใหญ่
อิริยาบถย่อยสามารถกำจัดได้เพียง ความโลภ และความเสียใจ เท่านั้น ในคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ยังมีกิเลสอีก 1005
และตัณหาอีก 108 พระพม่าไม่มีคำอธิบายว่า
จะกำจัดกิเลส 1005 ตัณหา108 ให้หมดภายใน 7
ปี 7 เดือน 7 วันได้อย่างไร
.......................................................
อ้างอิง
[1]
การปฏิบัติธรรมแบบของพระมหาสีสะยาดอว์ (Ven. Mahasi Sayadaw) ได้ถูกโจมตีในวงการพระสงฆ์ของพม่าเองว่า
ไม่ได้เป็นการปฏิบัติธรรมแบบพุทธเถรวาท (อ่านมาจากบทความของสายนี้เอง
ที่เป็นภาษาอังกฤษ แต่จำชื่อบทความไม่ได้)
สายนี้เมื่อเข้ามาในเมืองไทย
พระพิมลธรรม ผู้เป็นอาจารย์ของพระโชดก ก็โดนข้อหานี้ด้วยเหมือนกัน รอดมาได้ก็เพราะหลวงพ่อวัดปากน้ำ
ไปเซ็นรับรองไว้ดังนี้
ให้สำนักวิปัสสนาวัดมหาธาตุไว้ เป็นที่ระลึก
ในโอกาสที่ฉันได้เข้าปฏิบัติวิปัสสนาตามแบบแผนที่วัดมหาธาตุสอนอยู่ใน
ปัจจุบันนี้แล้ว ยืนยันได้ว่า การปฏิบัติแบบนี้
ถูกต้องร่องรอยในมหาสติปัฏฐานสูตรทุกประการ
พระภาวนาโกศลเถระ
วัดปากน้ำ ธนบุรี
10 เมษา/พฤษภา 2497 (ตรงเดือนอ่านไม่ออก)
ข้อความดังกล่าวนั้น
สาวกของสายยุบหนอพองหนอได้นำมาโจมตีหลวงพ่อวัดปากน้ำว่า เลิกสอนวิชชาธรรมกายไปแล้ว
ข้อความดังกล่าวนั้น
พิจารณาได้อย่างง่ายๆ ว่า เป็นการรับรองของใหม่ๆ โดยผู้ที่เชี่ยวชาญอยู่แล้ว เช่น
นักเขียนหน้าใหม่ มักจะนักเขียนผู้มีชื่อเสียงเขียนคำนิยมให้ หรือคำนำให้ทำนองนั้น
คนที่เชื่อไปว่า
หลวงพ่อวัดปากน้ำเลิกสอนวิชชาธรรมกายจริงๆ ผมก็ไม่สามารถประเมินความโง่ได้ว่า
เข้าไปลึกถึงขนาดไหน อาจจะโง่ลึกเข้าไปถึงก้านสมองเลยก็ได้ ก็เพราะ
การสอนของวิชชาธรรมกาย หลวงพ่อวัดปากน้ำยังสอนต่อมา
ตอนนี้สายวิชชาธรรมกายก็เผยแพร่ไปได้ไม่น้อยกว่าสายอื่นๆ
เช่นเดียวกัน
อันนี้เป็นข้อเท็จจริง
(fact) ที่เห็นกันได้ในปัจจุบัน
เฮ้อ โง่อย่างนี้ก็มี.......
การปฏิบัติธรรมแบบของพระมหาสีสะยาดอว์
(Ven.
Mahasi Sayadaw) นั้น เมื่อเข้ามาในเมืองไทยได้แบ่งออกเป็นอย่างน้อย
2 สาย คือ สายยุบหนอพองหนอ กับสายนามรูป
สายนามรูปนี้ก็มีอุบาสิกาแนบ
มหานีรนานนท์ เป็นลูกศิษย์คนสำคัญ
สายนามรูปไม่ค่อยยอมรับการสอนของสายยุบหนอพองหนอเท่าไหร่นัก เห็นว่าไม่ถูกต้องตามต้นฉบับของพระพม่า
ยกตัวอย่างเช่น
คำสอนของพระมหาสีสะยาดอว์
(Ven.
Mahasi Sayadaw) เองนั้น ห้ามท่องคำพูดใดๆ อย่างเด็ดขาด
การท่องยุบหนอพองหนอเป็นการดัดแปลงของพระมหาโชดกเอง
อุบาสิกาแนบ
มหานีรนานนท์นี้ ผู้ได้วิชชาธรรมกายชั้นสูงตรวจดูแล้ว ไปสู่สุคติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น