บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

พิจารณาอิริยาบถเป็นเพียงสัมปชัญญะ


ต่อไปพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ผู้มีสัมปชัญญะเป็นอย่างไร ดังนี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างไรเล่า ภิกษุจึงจะชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสัมปชัญญะ 

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้กระทำความรู้ตัว

ในการก้าว ในการถอย ในการแล ในการเหลียว ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ในการทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ

ย่อมทำความรู้สึกตัว ในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง อย่างนี้แล

ภิกษุจึงจะชื่อว่า เป็นผู้ประกอบด้วยสัมปชัญญะ

ข้อความในส่วนนี้ จะเห็นได้ว่า การพิจารณาอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อยของการปฏิบัติธรรมแบบสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูป เป็นเพียงการมีสัมปชัญญะในพระสูตรนี้เท่านั้น

ขอให้พิจารณาข้อความนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วย  จะเห็นว่า ข้อความของพระสูตรในส่วนนี้ ไม่มีคำว่า เห็น”  มีคำกริยาว่า รู้ตัว”, “รู้สึกตัวก็แสดงว่า  การมีสัมปชัญญะนั้น ไม่ต้องการ การเห็น” (seeing) ในกรณีที่เป็นตัวของเราเอง

แต่ในกรณีที่เราต้องการจะพิจารณาเห็น/ตามเห็นกายของคนอื่น ซึ่งเป็นกาย ณ ภายนอกนั้น  เราจะต้องใช้การเห็นหรือไม่ ท่านผู้อ่านก็ควรไปพิจารณาดู

ทำไมต้องเป็นสติปัฏฐาน 4

ดังได้กล่าวไปในบางบทความแล้วว่า เมื่อพระมหาสีสะยาดอว์ (Ven. Mahasi Sayadaw) คิดการปฏิบัติธรรมแบบนี้[1] ได้ ใหม่ๆ  ถูกโจมตีจากพระพม่าด้วยกันว่าไม่เป็นพุทธเถรวาท

หันรีหันขวางจึงจับการปฏิบัติธรรมแบบที่ตนเองคิดได้ ใส่เข้าไปในสติปัฏฐาน 4 เพราะว่า สอดคล้องกันดีกับการพิจารณาอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อย

ที่นี้พระพม่านี้ ท่านจะเก่งพระอภิธรรม แต่ก็เชื่อวิทยาศาสตร์เก่าไปด้วย นอกจากนั้น ก็น่าจะศึกษาคัมภีร์วิสุทธิมรรคมาพอสมควร  เห็นว่า วิปัสสนาญาณในคัมภีร์วิสุทธิมรรคน่าจะเป็นที่พึ่งได้ 

เพราะ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคได้กล่าวถึงวิปัสสนาญาณไว้  และเห็นว่า วิปัสสนาญาณทำให้บรรลุพระอรหันต์ได้

แต่พระพุทธโฆษาจารย์ผู้เขียนคัมภีร์วิสุทธิมรรคไม่เคยเขียนว่า การปฏิบัติตามแบบท่านนั้น จะบรรลุพระอรหันต์ได้ ภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วัน

พระพม่าจึงพอเห็นช่องทาง จึงจับสติปัฏฐาน 4 ยัดเข้าไปในวิปัสสนากรรมฐาน แล้วก็มั่วนิ่มว่า ทำอย่างนั้นแล้วจะได้วิปัสสนาญาณ 

แล้วก็มาโฆษณาชวนเชื่อว่า การปฏิบัติแบบตนนั้น สามารถบรรลุพระอรหันต์ได้ภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วัน ดังกล่าว

แต่ถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว คำสอนของพระพม่านั้น ขัดไปหมดทั้งคัมภีร์วิสุทธิมรรค ทั้งสติปัฏฐาน 4 รวมถึงพระสูตรสำคัญๆ อื่นๆ ด้วย

โดยสรุป

การพิจารณาอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อยนั้น เป็นเพียงสัมปชัญญะเท่านั้น  ซึ่งไม่ต้องใช้การพิจารณาเห็น/ตามเห็นแต่อย่างใด แต่ในการที่จะต้องมี สตินั้น จะต้องมีการพิจารณาเห็น/ตามเห็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ถ้าไม่เห็นแล้วจะพิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ณ ภายนอก ซึ่งเป็นของบุคคลอื่นได้อย่างไร

การพิจารณาอิริยาบถใหญ่ อิริยาบถย่อยสามารถกำจัดได้เพียง ความโลภ และความเสียใจ เท่านั้น  ในคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ยังมีกิเลสอีก 1005 และตัณหาอีก 108  พระพม่าไม่มีคำอธิบายว่า จะกำจัดกิเลส 1005 ตัณหา108  ให้หมดภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วันได้อย่างไร

.......................................................
อ้างอิง

[1] การปฏิบัติธรรมแบบของพระมหาสีสะยาดอว์ (Ven. Mahasi Sayadaw) ได้ถูกโจมตีในวงการพระสงฆ์ของพม่าเองว่า ไม่ได้เป็นการปฏิบัติธรรมแบบพุทธเถรวาท (อ่านมาจากบทความของสายนี้เอง ที่เป็นภาษาอังกฤษ แต่จำชื่อบทความไม่ได้)

สายนี้เมื่อเข้ามาในเมืองไทย พระพิมลธรรม ผู้เป็นอาจารย์ของพระโชดก ก็โดนข้อหานี้ด้วยเหมือนกัน  รอดมาได้ก็เพราะหลวงพ่อวัดปากน้ำ ไปเซ็นรับรองไว้ดังนี้

ให้สำนักวิปัสสนาวัดมหาธาตุไว้ เป็นที่ระลึก ในโอกาสที่ฉันได้เข้าปฏิบัติวิปัสสนาตามแบบแผนที่วัดมหาธาตุสอนอยู่ใน ปัจจุบันนี้แล้ว ยืนยันได้ว่า การปฏิบัติแบบนี้ ถูกต้องร่องรอยในมหาสติปัฏฐานสูตรทุกประการ
    พระภาวนาโกศลเถระ
    วัดปากน้ำ ธนบุรี
    10 เมษา/พฤษภา 2497 (ตรงเดือนอ่านไม่ออก)

ข้อความดังกล่าวนั้น สาวกของสายยุบหนอพองหนอได้นำมาโจมตีหลวงพ่อวัดปากน้ำว่า เลิกสอนวิชชาธรรมกายไปแล้ว

ข้อความดังกล่าวนั้น พิจารณาได้อย่างง่ายๆ ว่า เป็นการรับรองของใหม่ๆ โดยผู้ที่เชี่ยวชาญอยู่แล้ว เช่น นักเขียนหน้าใหม่ มักจะนักเขียนผู้มีชื่อเสียงเขียนคำนิยมให้ หรือคำนำให้ทำนองนั้น

คนที่เชื่อไปว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำเลิกสอนวิชชาธรรมกายจริงๆ ผมก็ไม่สามารถประเมินความโง่ได้ว่า เข้าไปลึกถึงขนาดไหน อาจจะโง่ลึกเข้าไปถึงก้านสมองเลยก็ได้ ก็เพราะ การสอนของวิชชาธรรมกาย หลวงพ่อวัดปากน้ำยังสอนต่อมา 

ตอนนี้สายวิชชาธรรมกายก็เผยแพร่ไปได้ไม่น้อยกว่าสายอื่นๆ เช่นเดียวกัน

อันนี้เป็นข้อเท็จจริง (fact)  ที่เห็นกันได้ในปัจจุบัน

เฮ้อ  โง่อย่างนี้ก็มี.......

การปฏิบัติธรรมแบบของพระมหาสีสะยาดอว์ (Ven. Mahasi Sayadaw) นั้น เมื่อเข้ามาในเมืองไทยได้แบ่งออกเป็นอย่างน้อย  2 สาย คือ สายยุบหนอพองหนอ กับสายนามรูป

สายนามรูปนี้ก็มีอุบาสิกาแนบ มหานีรนานนท์ เป็นลูกศิษย์คนสำคัญ

สายนามรูปไม่ค่อยยอมรับการสอนของสายยุบหนอพองหนอเท่าไหร่นัก  เห็นว่าไม่ถูกต้องตามต้นฉบับของพระพม่า ยกตัวอย่างเช่น

คำสอนของพระมหาสีสะยาดอว์ (Ven. Mahasi Sayadaw) เองนั้น ห้ามท่องคำพูดใดๆ อย่างเด็ดขาด  การท่องยุบหนอพองหนอเป็นการดัดแปลงของพระมหาโชดกเอง

อุบาสิกาแนบ มหานีรนานนท์นี้ ผู้ได้วิชชาธรรมกายชั้นสูงตรวจดูแล้ว ไปสู่สุคติ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น