บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ผมจบปริญญาเอกสหวิทยาการ

ก่อนหน้าที่ คุณณัฐวร ปานจินดาจะเข้ามาซักถามนั้น มีคนชื่อ “ลุงเล็ก” มาโต้แย้งอยู่หลายความเห็น

แรกๆ ก็ดูเหมือนจะดี แต่ต่อมา ผมเห็นว่า ลุงเล็กนี่ ไม่ได้มีความรู้อะไร จำเขามาอย่างเดียว พอตอบไปอย่างที่ลุงเล็กไม่พอใจ ก็ออกอาการหูตาขวาง คล้ายๆ หมาบ้า

ผมเลยตอบไป ดังนี้ (02 พฤศจิกายน 2552 13:38)

เรียน คุณลุงเล็ก

ผมจะไม่ลบความเห็นของคุณลุงหรอกครับ เพราะ มันจะเสียมรรยาท แต่ผมคงจะไม่ตอบความเห็นของคุณลุงเล็กอีกแล้ว เพราะ เหตุผลดังนี้

1) ข้อเขียนของคุณลุงเล็กไม่ได้เป็นวิชาการ
2) ข้อเขียนของคุณลุงเล็กเป็นเรื่องการชวนทะเลาะ
3) ความรู้ของคุณลุงเล็กยังน้อยเกินไป ข้อเขียนขาดหลักฐานสนับสนุน

ผมขอให้คุณลุงเล็กไปศึกษาเพิ่มเติมมาก่อน  แล้วค่อยมาสนทนากันใหม่จะดีกว่า

เมื่อตอบไปแล้ว ลุงเล็กออกอาการแต๋วแตกเต็มที่ จึงเข้ามาแบบหน้ามืดตามัวแบบนี้ (05 พฤศจิกายน 2552 16:10)

ตอบคุณ  ดร. มนัส

อ่านคคห.ของท่านแล้ว...ก็อยากกล่าวอะไรไว้ก่อนจะยุติ เพิ่มให้เรารู้จักกันมากขึ้น...อยากเล่าว่าเมื่อจนปัญญา.....คนหน้าด้านก็มักใช้วิธีแบบนี้

เป็นเรื่องจนต้องเรียกว่า....ทฤษฏี มีอยู่ทฤษฏีหนึ่ง....ที่คนเก่งหน้าด้านชอบใช้กัน เวลาจวนตัว...ก็จะอ้างทฤษฏีนี้ออกมา...ทฤษฏีนี้ชื่อว่า...ทฤษฏีไร้สาระ

เวลาตอบไม่ได้...ก็บอกว่า...เจ้าความรู้ยังน้อยข้าฯไม่คุยด้วย  มันไร้สาระ

เจ้าไม่มีวิชาการมาสนับสนุนเข้าไม่คุยด้วย มันไร้สาระ เจ้าอย่ามาชวนทะเลาะข้าไม่เอาด้วย มันไร้สาระ อย่ามาคุยเลยเรื่องของเจ้านั้น มันไร้สาระ

ก็ที่ท่านด่าพระพม่าป่าวๆ   ด่าพวกยุบหนอ-พองหนอ  ด่าพวกรูป-นาม  ว่าหลงโง่อย่างเสียหาย  อธิบายฉอดๆ...ๆ  อ้างว่ามีเหตุผล  มีวิชาการ อ้างว่ามีเหตุผล   ก็ต้องมีให้ตลอด  หยุดแล้วหรือ ?

นี่ไงที่ผมบอกว่า....ท่านจะทนทานต่อการพิสูจน์เรื่องนี้ต่อไป หรือไม่ หรือจะทนทานต่อคำถามของผมที่จะมีต่อไป หรือไม่ เมื่อแสดงเจตนา...ไม่ยอมตอบ....คนฉลาดก็รู้แพ้ชนะแล้ว ไม่เห็นต้องอธิบาย

จะเอาแต่ด่าเขาข้างเดียว....ก็บอกมาเถิด แล้วมาทำรังเกียจ...ว่าข้าพเจ้าหาเรื่องชวนทะเลาะ พูดมาเหมือนมีเหตุผลหนักเท่าสำลี

ทำไมเล่า...ทำไมไม่มีปัญญาตอบคำถามลุงเล็กแล้วหรือ มันน่าเสียดาย....เจอกันเดี๋ยวเดียว....ไม่งั้นจะบี้ให้แหลก รู้จักหลบก็ดีแล้ว....เก็บหน้าที่แตกไปเถอะ...อย่าแอบมาลบ คคห.  ของลุงเล็กก็แล้วกัน

หรือว่า....หาคำตอบไม่ได้....ก็ล้มกระดานมันซะเลย วิธีการแบบนี้....คือเลิกใช้เหตุผล...หมดปัญญาเท่านั้นเอง ไหนว่าหาเหตุผลได้ไง....แล้วตอบไม่ได้หรือ ?

ต่อไปใครจะมาอ่านบล๊อคนี้ก็ควรทราบว่า...ต้องทำได้แค่คล้อยตาม ขืนไม่เห็นด้วย...พลาดไปก็โดนสำรอกว่า...ไปอ่านหนังสือมาก่อน แปลเอาเองว่า  โลภะ คืออะไร

เรียนให้สูงอีกหน่อยก็จะรู้ว่า  โลภะ  คือ  เหตุแห่งทุกข์  เรียกว่า สมุทยสัจจ์ เป็น 1  ใน  อริยสัจจ์ 4     ทำไม่แค่นี้ไม่รู้    ทำไมไม่ตอบว่าไม่ใช่
ระดับสูงสุดเขาแปลอย่างนี้...จึงขึ้นเป็นพระอริยะได้ คนเรียนธรรมะระดับต่ำๆมันก็แปลได้แค่นี้....จึงไม่รู้ว่าทุกข์นั้นมีอะไรเป็นเหตุ ตรงนี้ไม่ยอมรับ....ก็บิดท่าบิดทางไป หมดทางแล้ว...ก็สารภาพมาเถอะ....ด๊อกเตอร์กำมะลอ !

จบเคมี...ก็ไปเก่งเรื่องเคมี

อย่าเสือก...อวดมาแปลพระไตรปิฏก....ไม่มีใครรับรอง ทำตัวเหมือนขี้ติดตูดชาวพุทธ....มันน่าสมเพช คำอธิบาย...ฟังแล้วน่ารังเกียจ คงไม่เคยโดนใครสวนกลับแบบมีเหตุผลแบบนี้...

ปากก็ว่าเรียนวิชชาอภิธรรมมา   แล้วยังมายกองค์ธรรมกิเลส  มี 21 ลองไปเปิดดูว่า  กิเลสมีเกิน 10  หรือไม่

อีกอย่าง...อกุศลเจตสิกมีเพียง 14  คุณจะปั้นยังไง  ให้โผล่ไป 21...นี่แหละ  คนอวดรู้ จะยกตัวอย่างให้ด๊อกเอตร์ซังกะบ๊วยฟังสักหน่อย

โทสะ  กับ  ปฏิฆะ  มันตัวเดียวกัน  มันอยู่คนละระดับของใจมนุษย์
โมหะ  กับ  อวิชานุสัย  มันตัวเดียวกัน มันอยู่คนละระดับของใจมนุษย์
องค์ธรรมนั้น   ตัวเดียวกัน  เกิดในจิตดวงไหนเท่านั้น
ไหนล่ะว่า...อ่านพระอภิธรรมจนละเอียด....อวดโม้ไม่กลัวตาย

ไม่คุยกันก็ไม่เป็นไรหรอกท่านด๊อกเตอร์ขี้หมา! บอกมาเถอะว่า...กลัวอะไร...อวดเสวนาบ้าอยู่คนเดียว..ทำได้ยังไง

ถามว่า..บล๊อคนี้สำหรับคนบ้าใช่ไหม...เอาไว้พูดคนเดียว... ! ขอโทษท่าน  ดร.มนัส ด้วย...ที่ทำให้ท่านเป็นใบ้  ตอบอะไรไม่ได้

เห็นอวดเก่งแต่กับคนโง่....มาเจอคนรู้จริง...อยากได้ปี๊บไหม ? เอาหมวกปริญญาเอกทิ้งไปเถอะ...เอาปี๊ปไปใส่แทนดีกว่า ขออภัยที่จำเป็นต้องทิ้งท้ายแบบไม่เกรงใจ

แค่นี้...ผมก็หมดหน้าที่แล้ว ขออวยพรให้เจริญในกุศลธรรม...
จาก...ลุงเล็ก

เมื่อคุณลุงเล็กพลาดมาแบบนั้น คือ ไม่รู้ว่าผมจบปริญญาเอกสาขาอะไร ถ้ายึดภาษิตซุนหวู่ก็ว่า ไม่รู้เขา ไม่รู้เรา รบร้อยครั้ง แพ้ร้อยครั้ง  ไม่ได้ทำการบ้านมาเลย

ผมเชื่อสุภาษิตไทยที่ว่า “คนล้มห้ามข้าม”  ผมก็เลยเหยียบซ้ำไปดังนี้ (05 พฤศจิกายน 2552 18:15)

ต้องขอโทษคุณลุงเล็กที่ต้องใช้เนื้อที่ตรงมาชี้แจงเรื่องวุฒิของผมนะครับ ในฐานะที่ผมถูกพาดพิง น่ะครับ

ต้องขอบอกว่า ผมไม่ได้จบมาทางเคมีนะครับ ผมจบปริญญาเอกปรัชญาดุษฎีบัณฑิต (สหวิทยาการ) จากโครงการปริญญาเอกสหวิทยาการ (Ph.D. Program in Integrated Science) ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

วุฒิภาษาอังกฤษก็แบบนี้ครับ Doctor of Philosophy (Integrated Sciences)

ในการเรียนปริญญาเอกนี้ ผมได้ทุนจากโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก. รุ่นที่ 4) ทุน คปก. นี้ บังคับนักศึกษาให้ไปต่างประเทศด้วย ผมเลยต้องไปเรียนที่ University of Leeds ประเทศอังกฤษอีกปีครึ่งน่ะครับ

โดยสรุป ผมเรียนปริญญาเอก 2 ประเทศครับ

โครงการปริญญาเอกสหวิทยาการ ปัจจุบันเป็นสังกัดวิทยาลัยสหวิทยาการ (College of Interdisciplinary Studies) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีปรัชญาและวัตถุประสงค์ ดังนี้

ปรัชญาการผลิตดุษฎีบัณฑิตในหลักสูตรคือ  การสร้างผู้มีความรู้ทางวิชาการในระดับสูง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์และตอบปัญหา  โดยใช้องค์ความรู้จากหลากหลายสาขาวิชา โดยมุ่งเน้นการจัดการศึกษาและการออกแบบให้สอดคล้องกับการพัฒนาขีดความสามารถ อย่างเต็มที่ตามศักยภาพของนักศึกษาและตามปรัชญาการศึกษาของมหาวิทยาลัยธรรม ศาสตร์

โดยมีวัตถุประสงค์ของหลักสูตรคือ
   1.  เพื่อผลิตบัณฑิตระดับดุษฎีบัณฑิตที่มีความรู้  ความสามารถและเป็นเลิศทางวิชาการในลักษณะสหวิทยาการที่สามารถเข้าใจและ จัดการกับปัญหาหรือปรากฏการณ์ของสังคมได้  รวมทั้งนำองค์ความรู้ในลักษณะสหวิทยาการไปใช้ในการค้นคว้าวิจัยและประกอบ อาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
   2.  เพื่อสร้างองค์ความรู้ที่มีลักษณะสหวิทยาการ  อันเป็นองค์ความรู้ที่ยังขาดแคลนในปัจจุบันและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา ศักยภาพทางวิชาการของประเทศต่อไป
(ที่มา : http://ci.tu.ac.th/phd/index.html)

ดุษฎีนิพนธ์ของนักศึกษาแต่ละคนนั้น ต้องใช้องค์ความรู้อย่างน้อย 2 สาขาวิชาขึ้นไป

ดุษฎีนิพนธ์ของผมชื่อ ความจริง กับการใช้เหตุผลในคำอภิปรายระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาลและการเสนอข่าวของ หนังสือพิมพ์ : กรณีศึกษาการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ

ชื่อภาษาอังกฤษก็แบบนี้ครับ "Truth" and Reasoning in the debates between members of the opposition and government parties, and reported be the press: A case study of the selected no-confidence debates.

ในการทำวิจัย ผมต้องใช้ 4 สาขาวิชาคือ รัฐศาสตร์ ภาษาศาสตร์ ตรรกศาสตร์ และวารสารศาสตร์

แนวทางการศึกษาคร่าวๆ ก็เป็นอย่างนี้ครับ

ผมจะศึกษาว่า ข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านที่กล่าวหารัฐบาลในการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้ วางใจนั้น ประการที่ 1 กล่าวหาที่ไปความรับผิดชอบต่อหน้าที่ (responsibility) และความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจ (accountability) ของรัฐบาลหรือไม่ และประการที่ 2 ข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านมีหลักฐานสนับสนุนหรือไม่

เมื่อรัฐบาลโต้ตอบข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านนั้น ประการที่ 1 ข้อโต้ตอบของรัฐบาลตรง (Directness) กับข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านหรือไม่ และประการที่ 2 ข้อโต้ตอบของรัฐบาลมีหลักฐานสนับสนุนหรือไม่

นอกจากนั้นแล้ว ผมยังศึกษาอีกว่า เมื่อหนังสือพิมพ์นำเรื่องการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจไปตีพิมพ์ ข่าวของหนังสือพิมพ์นั้น ตรงกับ (Directness) คำอภิปรายของฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลในหนังสือพิมพ์หรือไม่

ดุษฎีนิพนธ์ของผมนี้ มีความยาวเกือบ 800 หน้าน่ะครับ

สำหรับวิชาพื้นฐานที่นักศึกษาจะต้องเรียนก็คือ สาขาปรัชญาทั้งหลาย เช่น ปรัชญาศาสนา ปรัชญาสังคม นิติปรัชญา เป็นต้น

ที่บอกตรงนี้ก็อยากจะบอกให้ผู้อ่านทราบว่า ผมก็มีความรู้ในเรื่องศาสนาพอตัวเหมือนกัน

นอกจากนั้นแล้ว ตอนที่ผมอยู่ปี 4 (เรียนปริญญาเอก 5 ปี กับอีก 2 ภาคฤดูร้อน) ผมยังพิมพ์หนังสือขาย หนังสือนั้นชื่อ นิพพาน: นิจจัง/สุขัง/อัตตาหรืออนัตตา? มุมมองสหวิทยาการ

เนื่องจากได้ทุนจากโครงการ คปก. โครงการนี้บังคับให้มีการเผยแพร่งานวิจัยเป็นภาษาต่างประเทศ ผมเลยต้องตีพิมพ์งานของผมเป็นภาษาฝรั่งเศส และต้องไปนำเสนอผลงานที่ปารีส ประเทศฝรั่งเศส อีกน่ะครับ

สิงหาคมปีหน้านี้ ผมก็ต้องไปเสนอผลงานเรื่อง Thais parliamentary democracy ในการประชุม The 5th International Conference on Interdisciplinary Social Science ที่ University of Cambridge ประเทศอังกฤษ อีกน่ะครับ

โดยสรุป ผมมีความรู้ทางด้านศาสนาดีพอสมควร จากการเรียน การค้นคว้าส่วนตัว และผมเป็นวิทยากรสอนปฏิบัติธรรมตามสายวิชชาธรรมกายอีกด้วย

สำหรับเรื่องงานวิชาการด้านอื่นๆ ผมก็น่าจะเก่งพอสมควรนะครับ เมื่อพิจารณาดูจากประวัติของผม หวังว่า ท่านผู้อ่านท่านอื่นๆ คงจะเข้าใจ

ผมไม่ได้เป็นอย่างที่คุณลุงเล็กกล่าวหานะครับ..

เมื่อตอบไปแล้ว ลุงเล็กเข้ามาอีก แต่ผมเห็นว่า ไร้สาระจึงลบออกไปทั้งหมด





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น